อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทรัมป์อ้างว่าเจ้าหน้าที่จีน "ต้องการทำธุรกิจอย่างมาก" เนื่องจาก "เศรษฐกิจของพวกเขากำลังพังทลายลง"
สุดท้าย เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เจ็บหนักมากกว่าเดิม เนื่องจากส่งออกได้น้อยลง แถมยังทำให้การค้าระหว่างประเทศลดน้อยลง จนส่งผลร้ายต่อทุกประเทศไปทั่วโลก
แต่สุดท้ายก็สามารถขยายผลมากระทบกับไทยได้เช่นกัน..
การเจรจาต้องทำในรูปแบบทีมไทยแลนด์ ที่มีองค์ประกอบทั้งรัฐ เอกชน นักวิชาการ ที่มีความรู้สามารถเจรจากับสหรัฐฯได้
"ผมคิดว่า [จีน] ตระหนักดีว่าการตกลงกันยังดีกว่าไม่มีข้อตกลง" เบิร์ต ฮอฟแมน ศาสตราจารย์จากสถาบันเอเชียตะวันออกแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าว
โอเค มาถึงตอนนี้ สงครามการค้า ผมก็ได้อธิบายวิธีคิดมาตรฐานเกี่ยวกับสงครามการค้า วิธีคิดซึ่งลงหลักปักฐานแล้ว แต่โชคร้ายที่ทั้งหมดนั้นก็ยังอธิบายชั่วขณะปัจจุบันของเราไม่ได้ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะวิธีคิดทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า ภาษีศุลกากรถูกกำหนดในเกมที่ผู้เล่นทุกรายมีเหตุมีผล พวกเขาเข้าใจดีว่าการค้าทำงานอย่างไร ต่างคนต่างลงมือทำในสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเอง ต่อให้ผลลัพธ์รวมหมู่ของการกระทำเหล่านั้นจะออกมาเลวร้ายต่อสังคมก็ตาม
ในขณะเดียวกัน ความคาดหวังที่ว่าการเพิ่มภาษีจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวในยุคของทรัมป์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อโจ ไบเดนตัดสินใจรักษากำแพงภาษีไว้ ผู้บริโภคและผู้ผลิตจึงปรับเปลี่ยนการตัดสินใจในระยะยาว สถานการณ์นี้ก่อให้เกิดแรงเสียดทานที่กระจายตัวไปยังทุกมุมโลก
ท้ายที่สุด สงครามการค้าครั้งนี้สะท้อนให้โลกเห็นว่า ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในเกมที่ขับเคลื่อนด้วยความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ แต่ผู้แพ้คือทุกคนที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากนโยบายที่เน้นการแข่งขันมากกว่าความร่วมมือ
อุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตของจีน จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทรัมป์กำหนดอัตราภาษี
ย. ปีนี้ โดยทรัมป์ใช้สงครามการค้านี้เพื่อหวังเอาใจคะแนนโหวตของชาวอเมริกันผิวขาวชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นฐานเสียงใหญ่ของทรัมป์ที่ไม่ชอบจีนซึ่งเขาเชื่อว่าจีนเติบโตขึ่นมาเรื่อยๆ จนมีวันนี้ได้ก็ด้วยการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ
เพราะฝั่งยุโรปเองก็ตอบโต้ทันที ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน
สินค้าที่เกษตรกรและธุรกิจอเมริกันผลิตออกมา ก็เริ่ม
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบสร้างความชอบธรรมให้กับการค้าเสรี นั่นคือ ปล่อยให้ตลาดตัดสินใจว่าคุณจะส่งออกอะไร นำเข้าอะไร
ผู้บริโภคในประเทศ B จึงต้องจ่ายเงินมากขึ้นในการซื้อรถยนต์ หรืออาจเลือกที่จะไม่ซื้อเลย ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์